ค่า NRR ที่อุดหู บอกอะไรกันแน่? นำไปใช้อย่างไร?
NRR คือค่าที่บอกว่าอุปกรณ์ป้องกันการได้ยินลดเสียงได้เท่าไหร่ ยิ่งตัวเลขสูงยิ่งลดเสียงได้มาก แต่เป็นค่าที่วัดในห้องทดลอง จึงต้องมีการปรับแก้ เพื่อให้ใกล้เคียงกับการใช้งานจริง บทความนี้จะพูดถึงวิธีการใช้งาน NRR แบบใช้งานจริงครับ
เมื่อเลือกซื้ออุปกรณ์ป้องกันเสียงสำหรับพนักงาน สิ่งแรกที่มักจะดึงดูดสายตาคือตัวเลขขนาดใหญ่บนบรรจุภัณฑ์ที่เขียนว่า “NRR” หลายครั้งเราถูกทำให้เชื่อว่า ยิ่งตัวเลขนี้สูงเท่าไหร่ การป้องกันก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
ค่า NRR นี้ถูกทดสอบในสภาวะที่ควบคุมมาอย่างดี ผู้ทดสอบสวมใส่อุปกรณ์อย่างถูกต้อง 100% ซึ่งแตกต่างจากหน้างานจริง ที่อาจมีการสวมใส่ที่ไม่พอดี หรือมีปัจจัยอื่นๆ มารบกวน ดังนั้น เราจึงไม่สามารถนำค่า NRR มาใช้แบบตรงๆ ได้เสมอไปครับ
การทดสอบ NRR ในห้องปฏิบัติการ
กระบวนการทดสอบนี้เกิดขึ้นในห้องที่เงียบสนิท ภายใต้มาตรฐานที่เรียกว่า ANSI S3.19 โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญทำการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงให้กับกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีที่ถูกต้องและพอดีที่สุด
จากนั้นจะทำการวัดระดับการได้ยินของอาสาสมัครทั้งตอนที่ใส่และไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงในคลื่นความถี่ต่างๆ ตั้งแต่ 125 ถึง 8000 เฮิรตซ์ ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองที่ซับซ้อนนี้จะถูกนำมาคำนวณเป็นตัวเลขเดี่ยวๆ ที่เราเห็นบนกล่องนั่นเอง
ดังนั้น ค่า NRR จึงเป็นค่าเฉลี่ยทางสถิติที่ได้จากสภาวะในอุดมคติ มันบอกเราว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้น “มีศักยภาพ” ที่จะลดเสียงได้เท่าไหร่ แต่ไม่ได้การันตีว่ามันจะลดเสียงได้เท่านั้นในการใช้งานจริง แล้วเราจะนำค่าจากห้องแล็บนี้ มาใช้ในโลกความจริงได้อย่างไร?
ทำไมค่า NRR ต้องถูกปรับลด? เมื่อไปใช้หน้างาน:
เมื่อเข้าใจแล้วว่า NRR เป็นค่าทางทฤษฎี หน่วยงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ของสหรัฐอเมริกา (OSHA) จึงได้ออกแนวทางปฏิบัติเพื่อปรับค่า NRR ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงในสนามรบของหน้างานมากขึ้น โดยมีสูตรคำนวณที่เหล่า จป. หรือผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยต้องทำความเข้าใจ

การนำค่า NRR ไปใช้ในงานจริง:
มีหลายวิธีที่นิยมใช้ในการปรับค่า NNR เมื่อนำไปใช้งานจริงครับ โดยเราจะเริ่มจากวิธีง่ายๆ ไปถึงวิธีที่ซับซ้อนขึ้นมา
วิธีที่ 1 นำค่า NRR จากข้างกล่องมาลบออกด้วย 7
การลบ 7 เดซิเบลนี้เป็นการปรับแก้ค่าเพื่อให้สอดคล้องกับการวัดเสียงแบบ A-weighted (dBA) ซึ่งเป็นมาตรวัดที่ใกล้เคียงกับการตอบสนองของหูมนุษย์ต่อความเสี่ยงจากเสียงดัง
ตัวอย่าง: หากที่ทำงานมีเสียงดัง 100 dBA และเราใช้อุปกรณ์ที่มีค่า NRR เท่ากับ 36
- วิธีคิด: ก่อนอื่น นำค่า NRR มาลบ 7 ก่อน: 36 – 7 = 29
- จากนั้นนำไปลบออกจากระดับเสียงในที่ทำงาน: 100 – 29 = 71 dBA
- ผลลัพธ์: หมายความว่าระดับเสียงที่เราจะได้รับจริงๆ ขณะสวมใส่อุปกรณ์นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 71 dBA ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยที่ 85 dBA ต่อระยะเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ถือว่าปลอดภัยครับ
ทำไมต้อง 7 dB Correction
ตรงนี้มีเรื่องราวสนใจซ่อนอยู่ NRR ถูกพัฒนาขึ้นมาในปี 1980 โดยใช้การวัดระดับเสียง C-scale (สเกลความถี่กว้างสำหรับการวัด) แต่ในการใช้งานจริงของ OSHA พวกเขาใช้ A-scale (สเกลความถี่ที่ถ่วงน้ำหนักให้เหมาะกับการได้ยินของมนุษย์)
ความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้ก็คือ A-scale ลดทำนายเสียงความถี่ต่ำลง ถ้าไม่มีการปรับ A-scale จะให้ผลการป้องกันที่ดูดีกว่าความเป็นจริง ดังนั้น OSHA จึงกำหนดให้ลบ 7 dB ออกจาก NRR เมื่อใช้กับ A-scale measurements นี่คือสิ่งที่เรียกว่า 7 dB Correction Factor
แต่ในบางกรณี การคำนวณแค่นี้อาจยังไม่พอ เพราะในหน้างานจริงมีปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปอีกก็ได้
วิธีที่ 2 การทอนค่า (Derating) เพื่อความปลอดภัย
การหารครึ่งนี้เปรียบเสมือนการใส่ “ค่าเผื่อความปลอดภัย” (Safety Factor) ถึง 50% เพื่อชดเชยปัจจัยต่างๆ ในหน้างานจริง เช่น พนักงานอาจสวมใส่ไม่พอดี, ขยับตัว, หรืออุปกรณ์เสื่อมสภาพ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพลดลง
ตัวอย่าง: หากที่ทำงานมีเสียงดัง 100 dBA และเราใช้อุปกรณ์ที่มีค่า NRR เท่ากับ 29
- วิธีคิด: ลบ 7 dB (ตาม 7 dB Correction Factor) : 29 − 7 = 22 dB
- จากนั้นนำหารสอง: 22 ÷ 2 = 11 dB
- จากนั้นนำไปลบออกจากระดับเสียงในที่ทำงาน: 100 − 11 = 89 dBA
- ผลลัพธ์: หมายความว่าระดับเสียงที่เราจะได้รับจริงๆ ขณะสวมใส่อุปกรณ์นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 89 dBA ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยที่ 85 dBA ต่อระยะเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน
- แปลว่า: หากต้องการให้ลูกจ้างทำงานนี้ (85 dBA) เขาจะต้องทำงานในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง 11 นาที จึงจะถือว่าปลอดภัยครับ สามารถดูรายละเอียดและวิธีคำนวนได้ที่ มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับเฉลี่ย
จะเห็นว่า: วิธีคำนวนนี้สมจริงและสมจริงมากขึ้น โดยคำนึงถึงว่าคุณอาจใส่หูฟังไม่สมบูรณ์แบบเสมอไป
วิธีที่ 3 การป้องกันสองชั้น (Dual Protection)

ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังรุนแรงเกินกว่า 105 dBA การใช้อุปกรณ์ป้องกันเพียงชิ้นเดียวอาจไม่เพียงพอ ในกรณีนี้อาจจำเป็นต้องให้พนักงานสวมใส่ทั้งที่อุดหู (Earplugs) และที่ครอบหู (Earmuffs) พร้อมกัน
แต่เราไม่สามารถนำค่า NRR ของทั้งสองชิ้นมารวมกันตรงๆได้!!!
OSHA แนะนำให้ใช้ค่า NRR ของอุปกรณ์ที่สูงกว่า แล้วบวกเพิ่มไปอีก 5 เดซิเบลเท่านั้น เช่น หากใช้ที่อุดหู NRR 25 ร่วมกับที่ครอบหู NRR 35 ค่าป้องกันรวมที่ประเมินจะอยู่ที่ 35+5 =40 (ไม่ใช่ 60)
จากนั้นนำค่า NRR ใหม่คือ 40 ไปคำนวณตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้นต่อไป
วิธีที่ 4 การปรับลด ค่า NRR ตามแนวทางของ NIOSH
สถาบันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติของสหรัฐฯ (NIOSH) มองว่าอุปกรณ์แต่ละชนิดมีความยากง่ายในการใช้งานและความน่าเชื่อถือไม่เท่ากัน จึงควรมีเปอร์เซ็นต์การลดทอน (Derating) ที่แตกต่างกันไป
วิธีการคำนวณค่าป้องกันเสียงที่คาดหวังได้จริงตามแนวทางของ NIOSH คือ:
ค่าป้องกันจริง = NRR x (100 – K) / 100
หรือก็คือ นำค่า NRR มาลดทอนลงตามเปอร์เซ็นต์ K ที่กำหนดนั่นเองครับ โดย
- K = 25 สำหรับที่ครอบหู (Earmuffs) นั่นคือ ประสิทธิภาพจะลดทอนเหลือ 75%
- K = 50 สำหรับที่อุดหูชนิดโฟม (Foam Earplugs) นั่นคือ ประสิทธิภาพจะลดทอนเหลือ 50%
- K = 70 สำหรับที่อุดหูชนิดอื่นๆ (Other Earplugs) นั่นคือ ประสิทธิภาพจะลดทอนเหลือ 30%
สูตรลัดสำหรับการคำนวนค่าป้องกันจริง
- กรณี Earmuffs ให้เอา NRR คูณ 0.75
- กรณีที่อุดหูชนิดโฟม ให้เอา NRR คูณ 0.50
- กรณีที่อุดหูชนิดอื่น ให้เอา NRR คูณ 0.30
หลังจากนั้นก็เอาไปลบ 7 และเอาไปลบออกจากความดังของสภาพแวดล้อม

ตัวอย่าง หากที่ทำงานมีเสียงดัง 100 dBA และเราใช้อุปกรณ์ 3 ตัว คือ ที่ครอบหู, ที่อุดหูชนิดโฟม, ที่อุดหูชนิดยาง ที่มีค่า NRR เท่ากับ 29
- การคำนวณ สำหรับที่ครอบหู (Earmuffs):
- NRR x 0.75 = 29 x 0.75 = 21.75
- ลบ 7 dB (ตาม 7 dB Correction Factor) : 21.75 − 7 = 14.75 dB
- จากนั้นนำไปลบออกจากระดับเสียงในที่ทำงาน: 100 − 14.75 = 85.25 dBA
- การคำนวณ สำหรับที่อุดหูชนิดโฟม (Foam Earplugs):
- NRR x 0.50 = 29 x 0.50 =14.50
- ลบ 7 dB (ตาม 7 dB Correction Factor) : 14.50 − 7 = 7.5 dB
- จากนั้นนำไปลบออกจากระดับเสียงในที่ทำงาน: 100 − 7.5= 92.25 dBA
- การคำนวณ สำหรับที่อุดหูชนิดยาง (Other Earplugs):
- NRR x 0.30 = 29 x 0.30 =8.37
- ลบ 7 dB (ตาม 7 dB Correction Factor) : 8.7 − 7 = 1.7 dB
- จากนั้นนำไปลบออกจากระดับเสียงในที่ทำงาน: 100 − 1.7= 98.30 dBA
จะเห็นว่าเครื่องป้องกันแต่ละตัว มีประสิทธิภาพจริง ไม่เท่ากัน แม้ว่า NRR จะเท่ากันก็ตาม ดีที่สุดคือ ที่ครอบหู, ที่อุดหูชนิดโฟม, ที่อุดหูชนิดยางตามลำดับ แต่หากเรา ต้องการให้พนักงานสวมเครื่องป้องกัน 3 แบบ ทำงานที่มีสภาพเสียงดัง 100 dBA ก็ต้องให้พนักงานทำงาน ด้วยระยะเวลาที่สั้นลง
สรุปว่า กรณีที่ทำงานมีเสียงดัง 100 dBA และเราต้องการใช้อุปกรณ์ ทั้ง 3 ตัว คือ ที่ครอบหู, ที่อุดหูชนิดโฟม, ที่อุดหูชนิดยาง ที่มีค่า NRR เท่ากับ 29 เราต้องลดเวลาการทำงานที่ได้รับเสียงต่อวัน
- ถ้าใส่ที่ครอบหู ต้องทำงานรับเสียง 100 dBA ไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง 33 นาที
- ถ้าใส่ที่อุดหูชนิดโฟม ต้องทำงานรับเสียง 100 dBA ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง 29 นาที
- ถ้าใส่ที่อุดหูชนิดยาง ต้องทำงานรับเสียง 100 dBA ไม่เกินวันละ 22 นาที
ท่านสามารถ ดูสูตรการคำนวนเรื่องระยะเวลารับเสียงตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ที่ มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับเฉลี่ย
จะเห็นได้ว่าแนวทางของ NIOSH นี้ ให้ความสำคัญกับ “ชนิด” ของอุปกรณ์เป็นอย่างมาก เพราะมันสะท้อนถึงความยากง่ายในการใช้งานจริงได้ดีกว่าการลดทอนแบบเหมารวมครับ
วิธีที่ 5 วิธีวัดผลจากคนทำงานจริง (PAR)
ในปี 2008 ความร่วมมือระหว่าง OSHA กับ NIOSH และสมาคมอนุรักษ์การได้ยินแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้ยอมรับถึงข้อจำกัดของค่า NRR และชี้ไปที่เทคโนโลยีใหม่ที่เป็น “แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด” นั่นคือ การทดสอบค่าการลดทอนเสียงเฉพาะบุคคล หรือ PAR (Personal Attenuation Rating)
วัดผลจริง ไม่ต้องประมาณ
การทดสอบ PAR คือการใช้เครื่องมือพิเศษวัดประสิทธิภาพของที่อุดหู ณ ขณะที่พนักงานสวมใส่อยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง ผลลัพธ์ที่ได้คือตัวเลขการลดเสียงที่ “เกิดขึ้นจริง” สำหรับพนักงานคนนั้น กับอุปกรณ์ชิ้นนั้น
ผลลัพธ์ที่ได้นี้ ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยจากห้องทดลองอีกต่อไป
ข้อดีที่สุดของ PAR คือความตรงไปตรงมา เมื่อเราได้ค่า PAR ของพนักงานคนหนึ่งมาแล้ว เราสามารถนำไปลบกับระดับเสียงในที่ทำงานได้โดยตรง ไม่ต้องลบ 7 หรือหาร 2 อีกต่อไป
ตัวอย่างเช่น: จากสถานการณ์เดิมที่เสียงดัง 95 dBA หากพนักงานคนหนึ่งเข้ารับการทดสอบ PAR กับที่อุดหูชิ้นเดิม และได้ค่า PAR เท่ากับ 20 ระดับเสียงที่พนักงานคนนั้นได้รับจริงคือ 95 – 20 = 75 dBA จะเห็นว่าค่านี้ให้ความมั่นใจได้สูงกว่าและสะท้อนความเป็นจริงได้ดีกว่าการคำนวณจาก NRR มาก การมีตัวเลขที่แม่นยำนั้นยอดเยี่ยม แต่การป้องกันการได้ยินยังมีมิติอื่นที่สำคัญไม่แพ้กัน
สรุปตารางเปรียบเทียบวิธีต่างๆ
|
วิธีการ 1739_42a459-d5> |
แนวคิด 1739_6da5ab-9e> |
วิธีคำนวน 1739_febd3a-35> |
|---|---|---|
|
NRR-7 1739_109313-8f> |
ลดทอนแบบ ลบ 7 1739_f0fca9-50> |
NRR-7 1739_d1f49c-2f> |
|
OSHA Derating 1739_7dc026-36> |
ลดทอนแบบเหมารวม 50% เผื่อในการใช้งานจริง 1739_d2e8c4-82> |
NRR/2 1739_1cda53-07> |
|
OSHA Dual Protection 1739_07defd-08> |
NRR ของอุปกรณ์ที่สูงกว่า แล้วบวกเพิ่มไปอีก 5 1739_6c70b5-c9> |
Higher NRR+5 1739_f82736-cc> |
|
NIOSH Derating 1739_e65cca-a0> |
ลดทอนตาม “ชนิด” ของอุปกรณ์ 1739_44c472-01> |
NRR x (100 – K) / 100 |
|
PAR 1739_36181a-08> |
“ไม่ประมาณค่า” แต่”วัดผลจริง“ 1739_192ddf-3f> |
ไม่มีการลดทอน ใช้ค่า PAR ที่วัดได้โดยตรง 1739_196fd7-e1> |
ปัจจัยสู่การป้องกันที่แท้จริง
พนักงานจะยอมสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลตลอด 8 ชั่วโมงของการทำงาน ก็ต่อเมื่อมันไม่สร้างความทรมานให้พวกเขา ความสบายจึงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ
ดังนั้น การมีอุปกรณ์ป้องกันเสียงให้เลือกหลากหลายรูปแบบ (Variety of choices) ทั้งแบบที่อุดหูและที่ครอบหู เพื่อให้พนักงานได้เลือกสิ่งที่เหมาะสมและสบายที่สุดสำหรับพวกเขา ควบคู่ไปกับการฝึกอบรมวิธีสวมใส่ที่ถูกต้อง คือหัวใจที่จะทำให้การป้องกันเกิดขึ้นได้จริง
คำถาม
- การป้องกันเสียงมากเกินไป (Overprotection) เป็นปัญหาหรือไม่?
- เป็นปัญหา เพราะอาจทำให้พนักงานไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัย หรือเสียงเพื่อนร่วมงาน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- ทำไมสูตรคำนวณต้อง “ลบ 7” ไม่ใช่เลขอื่น?
- เพราะเป็นการแปลงค่าจากสเกล C-weighted (ที่ NRR อ้างอิง) มาเป็น A-weighted (ที่ OSHA ใช้ประเมินความเสี่ยงต่อหูมนุษย์) ซึ่งมีความต่างกันประมาณ 7 เดซิเบล
- ค่า PAR ของพนักงานคนหนึ่งจะคงที่ตลอดไปหรือไม่?
- ไม่จำเป็น ค่า PAR อาจเปลี่ยนแปลงได้หากวิธีการสวมใส่ของพนักงานเปลี่ยนไป หรือสภาพของอุปกรณ์เปลี่ยนไป จึงควรมีการตรวจสอบเป็นระยะ
- การทดสอบ PAR เป็นข้อบังคับตามกฎหมายหรือไม่?
- ไม่ใช่ แต่ถูกระบุว่าเป็น “แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด” (Best Practice) ที่แสดงถึงความใส่ใจในความปลอดภัยอย่างแท้จริง
- ถ้าใส่ที่อุดหูแล้วยังได้ยินเสียงเครื่องจักรอยู่ หมายความว่ามันไม่ได้ผลใช่หรือไม่?
- ไม่ใช่ หน้าที่ของมันคือ “ลด” ระดับเสียงให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ไม่ใช่ “กำจัด” เสียงทั้งหมด การยังได้ยินเสียงอยู่บ้างจึงเป็นเรื่องปกติ
- ทำไมการใส่ที่ป้องกันสองชั้นถึงให้ค่าป้องกันเพิ่มขึ้นแค่ 5 เดซิเบล?
- เพราะเสียงสามารถเดินทางผ่านกระดูกกะโหลกศีรษะเข้าสู่หูชั้นในได้ (Bone Conduction) การป้องกันที่หูภายนอกจึงมีขีดจำกัด การเพิ่มชั้นที่สองจึงช่วยได้เพียงเล็กน้อย
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับที่อุดหู
- ความเชื่อ: ที่อุดหู NRR 33 ลดเสียงจริงได้ 33 เดซิเบล
- ไม่ใช่ ต้องผ่านการคำนวณปรับลดค่าเพื่อการใช้งานจริง ซึ่งจะลดเสียงได้น้อยกว่านั้นมาก
- ความเชื่อ: ที่ครอบหู (Earmuffs) ป้องกันเสียงได้ดีกว่าที่อุดหู (Earplugs) เสมอ
- ไม่เสมอไป ที่อุดหูที่สวมใส่อย่างถูกต้องและมีค่า NRR สูง อาจป้องกันเสียงได้ดีกว่าที่ครอบหูราคาถูกและไม่พอดี
- ความเชื่อ: ถ้าทำงานในที่เสียงดังไม่นาน ไม่จำเป็นต้องใส่
- การสัมผัสเสียงดังแม้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่มีความเข้มสูงมาก ก็สามารถทำลายเซลล์ประสาทหูได้อย่างถาวร
- ความเชื่อ: การสูญเสียการได้ยินเป็นเรื่องของคนแก่
- การสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง (Noise-Induced Hearing Loss) เกิดขึ้นได้กับทุกวัย และเป็นผลมาจากการสะสมความเสียหายตั้งแต่อายุยังน้อย
- ความเชื่อ: ใช้สำลีอุดหูแทนก็ได้ผลเหมือนกัน
- สำลีแทบไม่สามารถป้องกันเสียงในย่านความถี่ที่เป็นอันตรายได้เลย และอาจมีเศษสำลีตกค้างในช่องหูได้
เครื่องป้องกันการได้ยิน
ที่มา
https://cavcominc.com/_pdf.php?bmV3c3wyfFRoZSBOb2lzZSBSZWR1Y3Rpb24gUmF0aW5nIChOUlIpICAgIHxpbmxpbmU=
https://osh.labour.go.th/attachments/article/1239/sound-2561.PDF